Saturday, August 15, 2009
Friday, June 26, 2009
Bandung Indonesia
พาเที่ยว เมือง Bandung (เมืองบันดุง)
บันดุงคือเมืองที่พ่อแม่สามีมาปลูกรากฐานอยู่ที่นี่ค่ะ ซึ่งประมาณ 20 ปีได้ แต่จริงๆแล้วพ่อแม่สามีเป็นชาว Java (จาว่า) หรือที่เราเรียกว่า ชาวชวานั่นเอง ส่วนชาวบันดุงนั้นเรียกว่า ชาวซุนดานิส และก็ส่วนใหญ่จะใช้ภาษซุนดานิสและภาษากลางค่ะ แต่เราก็พูดได้แต่ภาษาอินโดซึ่งเป็นภาษากลางค่ะ แต่ยังไม่เก่งค่ะ
บันดุง เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างจากจาการ์ต้าประมาณ 180 กิโลเมตร ถ้าเดินทางโดยใช้รถยนต์ ก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม ส่วนรถไฟต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ในเมืองบันดุงนั้นอากาศเย็นสบายเพราะบันดุงนั้นอยู่ในที่ราบบนภูเขาจึงสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 768 เมตร ซึ่งในเมืองนั้นจะมีภูเขาล้อมรอบตัวเมือง กลางคืนนั้นนอนไม่ต้องเปิดแอร์เลยคะ ส่วนกลางวันถ้าออกนอกบ้านก็ร้อนนิดนึง แต่ถ้าอยู่ในบ้านเย็นสบายเหมือนกันค่ะ ยิ่งหน้าฝนนะคะไม่อยากไปไหนเลยค่ะ นอนอยู่บ้านสบาย
ในอดีตประเทศอินโดนีเซียนั้น เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศเนเธอร์แลนด์ ชาวอินโดนีเซียมักเรียกประเทศเนเธอร์แลนด์หรือชาวดัตช์ว่าประเทศบรันดาหรือชาวบรันดา เมืองบันดุงนั้นก็เป็นเมืองตากอากาศของชาวบรันดาในสมัยนั้น จึงมีชื่อเรียกบันดุงว่า Parijs van Java ( เมืองปารีสแห่งเกาะชวา )
สถานที่ท่องเที่ยว
ภูเขาไฟ Tangkuban Perahu (ตังคุบัน เปราฮู)แหล่งท่องเที่ยวที่น่าประทับใจที่สุดและถือเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเลยคะ ภูเขาไฟ Tangkuban Perahu (ตังคุบัน เปราฮู ) ใครมาแล้วไม่ได้ไปถือว่ายังมาไม่ถึงบันดุงนะคะ ภูเขาไฟ Tangkuban Perahu มีรูปร่างคล้ายรูปเรือที่พลิกคว่ำ ซึ่งมีตำนานว่า

บันดุงคือเมืองที่พ่อแม่สามีมาปลูกรากฐานอยู่ที่นี่ค่ะ ซึ่งประมาณ 20 ปีได้ แต่จริงๆแล้วพ่อแม่สามีเป็นชาว Java (จาว่า) หรือที่เราเรียกว่า ชาวชวานั่นเอง ส่วนชาวบันดุงนั้นเรียกว่า ชาวซุนดานิส และก็ส่วนใหญ่จะใช้ภาษซุนดานิสและภาษากลางค่ะ แต่เราก็พูดได้แต่ภาษาอินโดซึ่งเป็นภาษากลางค่ะ แต่ยังไม่เก่งค่ะ
บันดุง เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างจากจาการ์ต้าประมาณ 180 กิโลเมตร ถ้าเดินทางโดยใช้รถยนต์ ก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม ส่วนรถไฟต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ในเมืองบันดุงนั้นอากาศเย็นสบายเพราะบันดุงนั้นอยู่ในที่ราบบนภูเขาจึงสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 768 เมตร ซึ่งในเมืองนั้นจะมีภูเขาล้อมรอบตัวเมือง กลางคืนนั้นนอนไม่ต้องเปิดแอร์เลยคะ ส่วนกลางวันถ้าออกนอกบ้านก็ร้อนนิดนึง แต่ถ้าอยู่ในบ้านเย็นสบายเหมือนกันค่ะ ยิ่งหน้าฝนนะคะไม่อยากไปไหนเลยค่ะ นอนอยู่บ้านสบาย
ในอดีตประเทศอินโดนีเซียนั้น เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศเนเธอร์แลนด์ ชาวอินโดนีเซียมักเรียกประเทศเนเธอร์แลนด์หรือชาวดัตช์ว่าประเทศบรันดาหรือชาวบรันดา เมืองบันดุงนั้นก็เป็นเมืองตากอากาศของชาวบรันดาในสมัยนั้น จึงมีชื่อเรียกบันดุงว่า Parijs van Java ( เมืองปารีสแห่งเกาะชวา )
สถานที่ท่องเที่ยว
ภูเขาไฟ Tangkuban Perahu (ตังคุบัน เปราฮู)แหล่งท่องเที่ยวที่น่าประทับใจที่สุดและถือเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเลยคะ ภูเขาไฟ Tangkuban Perahu (ตังคุบัน เปราฮู ) ใครมาแล้วไม่ได้ไปถือว่ายังมาไม่ถึงบันดุงนะคะ ภูเขาไฟ Tangkuban Perahu มีรูปร่างคล้ายรูปเรือที่พลิกคว่ำ ซึ่งมีตำนานว่า


วันหนึ่งนางดายัง ซุมบิ แม่ของ ซังคุริอังให้เขาไปล่าเนื้อสัตว์มา แต่ซังคุริอังไม่สามารถหาได้ จึงสังหารพ่อที่อยู่ในร่างของสุนัขมาให้เธอแทนสัตว์ที่เขาล่าไม่ได้ ดายัง ซุมบิผุ้เป็นแม่โกรธมากได้ขว้างปาสิ่งของใส่เขาแล้วไล่เขาออกจากบ้าน ซึ่งตอนนั้น ซังคุริอังยังเป็นเด็กอยู่ ระหว่างเดินทางซังคุริอังได้ไปพบอาจารย์ที่มีวิชาเวชมนต์และได้เรียนรู้วิชาจนเติบใหญ่ แล้ววันนึงเขาได้มีโอกาส
ไปพบดายัง ซุมบิซึ่งเป็นแม่ของเขาโดยบังเอิญและเขาได้หลงรักนางเพราะนางดายัง ซุมบินั้นยังสวย(และไม่มีวันแก่) ทั้งสองได้เป็นแฟนกัน ภายหลังนางนางดายัง ซุมบิ บังเอิญไปเห็นแผลเป็นที่เธอเคยขว้างปาข้าวของใส่ลูกเธอ เธอจึงจำได้และได้พยามบอก ซังคุริอังว่าเธอเป็นแม่ของเขาแต่ซังคุริอังไม่เชื่อ เพราะดายัง ซุมบินั้นยังสาวอยู่ ซังคุริอังพยามขอเธอแต่งงานแต่เธอก็ปฏิเสธ จนเธอได้ออกอุบายว่าถ้า ซังคุริอังสร้าง เรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าภูเขาเสร็จภายใน 1 คืน เธอจะแต่งงานด้วย พอถึงวันที่สร้างภูเขา ซังคุริอังก็สร้างเรือได้เร็วมากจนเกือบจะเสร็จ นางดายัง ซุมบิ เห็นเช่นนั้น เธอจึงลวงซังคุริอังโดยให้คนในหมู่บ้านจุดไฟให้สว่างเพื่อให้ไก่ขันบอกเวลาว่าเช้าแล้ว เมื่อซังคุริอังเห็นเช่นนั้นจึงคิดว่าตัวเองสร้างไม่เสร็จทันเวลาจึงหยุดสร้าง จนเช้าจริงๆ ก็ยังไม่เสร็จ แต่พอมารู้ภายหลังเขาโกรธมาก จึงแตะเรือไปไกลมาก จนเรือนั้นคว่ำและกลายมาเป็นภูเขาไฟ Tangkuban Perahu( ตังคุบัน เปราฮู ) นั่นเอง
ไปพบดายัง ซุมบิซึ่งเป็นแม่ของเขาโดยบังเอิญและเขาได้หลงรักนางเพราะนางดายัง ซุมบินั้นยังสวย(และไม่มีวันแก่) ทั้งสองได้เป็นแฟนกัน ภายหลังนางนางดายัง ซุมบิ บังเอิญไปเห็นแผลเป็นที่เธอเคยขว้างปาข้าวของใส่ลูกเธอ เธอจึงจำได้และได้พยามบอก ซังคุริอังว่าเธอเป็นแม่ของเขาแต่ซังคุริอังไม่เชื่อ เพราะดายัง ซุมบินั้นยังสาวอยู่ ซังคุริอังพยามขอเธอแต่งงานแต่เธอก็ปฏิเสธ จนเธอได้ออกอุบายว่าถ้า ซังคุริอังสร้าง เรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าภูเขาเสร็จภายใน 1 คืน เธอจะแต่งงานด้วย พอถึงวันที่สร้างภูเขา ซังคุริอังก็สร้างเรือได้เร็วมากจนเกือบจะเสร็จ นางดายัง ซุมบิ เห็นเช่นนั้น เธอจึงลวงซังคุริอังโดยให้คนในหมู่บ้านจุดไฟให้สว่างเพื่อให้ไก่ขันบอกเวลาว่าเช้าแล้ว เมื่อซังคุริอังเห็นเช่นนั้นจึงคิดว่าตัวเองสร้างไม่เสร็จทันเวลาจึงหยุดสร้าง จนเช้าจริงๆ ก็ยังไม่เสร็จ แต่พอมารู้ภายหลังเขาโกรธมาก จึงแตะเรือไปไกลมาก จนเรือนั้นคว่ำและกลายมาเป็นภูเขาไฟ Tangkuban Perahu( ตังคุบัน เปราฮู ) นั่นเอง
Moving House
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ
ความจริงเราก็ย้ายมาอยู่อินโดนีเซียได้ปีกว่าแล้วค่ะ แต่ก็เพิ่งจะนึกขยันมาเขียนประวัติตัวเองก็วันนี้แหละคะ หวังว่าคงไม่ช้าไปนะคะ
อันดับแรกไม่ต้องสงสัยเลยคะว่าทำไมย้ายมาอยู่อินโด ไม่ได้มาทำงานหอบเงินกลับไทยหรอกค่ะ ก็ดันไปตกหลุมรักหนุ่มอินโดตอนที่เค้าไปอยู่บ้านเราเข้าสิค่ะ เลยต้องหอบผ้าหอบผ่อนตามเค้ามา มาเป็นสะใภ้อินโดค่ะ (เฮ้อคนอื่นเค้าไปเป็นสะใภ้แถวยุโรปกันแต่ชั้นขอเป็นสะใภ้เอเชียแล้วกัน ) ตอนนี้เลยกลายมาเป็นสาวอินโดโดยปริยาย
ตอนย้ายมาครั้กแรกนั้นตอนที่เศร้าที่สุดก็ตอนขึ้นเครื่องแหละค่ะ เพราะมีพ่อแม่และน้องมาส่งที่สนามบิน รู้สึกว่าเราจะไม่ได้อยู่บ้านเราอีกต่อไปมันก็เศร้านะคะ แหมอยู่ด้วยกันมาตั้ง 27 ปี อยู่ๆต้องหอบผ้ามาอยู่กับสามีมันก็ Sad อยู่ค่ะ
แต่พอได้มาอยู่จริงๆ ใหม่ๆ เรียกได้ว่าไม่ค่อยเหงาค่ะ เหมือนมาเที่ยว เพราะว่าแฟนพา entertain บ่อยค่ะ กลัวเราเหงา แต่พออยู่ไปเป็นปีๆสิค่ะ ไม่ค่อย entertain เลยคะ คงเห็นว่าเราชิน เราอยู่ได้แล้ว จริงๆ ก็มีเพื่อนๆ หลายคนถามนะคะว่ามาอยู่ที่นี่ มาเป็นแม่บ้าน ไม่มีงานทำ ไม่เหงาเหรอ มันมีบ้างค่ะ เหงาๆเบื่อๆ คนเคยทำงานนี่ค่ะ แต่ก็พยามหากิจกรรมอื่นทำค่ะ บางทีก็ออกไปทานข้าวกับเพื่อนนอกบ้านบ้างค่ะ แลนอกจากมีสามี entertain แล้ว ก็แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้อยู่ได้ทั้งวันไม่ไปไหนเลยค่ะ คือ Internet ค่ะ ขาดไม่ได้เลยนะคะจะลงแดงค่ะ ว่างๆเหงาๆ ก็คุยกับเพื่อนๆ ใน MNS บ้าง Hi5 บ้าง Face bookบ้างค่ะ แรกๆ คุยกับเพื่อนทุกวันเลยค่ะ กลัวเหงา อีกอย่างสามีให้กลับบ้านทุก 3-4 เดือน ก็ปีละ 2-3 ครั้ง ก็ยังดีค่ะ แต่หลังๆ ก็มีอย่างอื่นทำค่ะ แล้วไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อว่าอยู่ที่นี่มีอะไรทำบ้างนะคะ
ความจริงเราก็ย้ายมาอยู่อินโดนีเซียได้ปีกว่าแล้วค่ะ แต่ก็เพิ่งจะนึกขยันมาเขียนประวัติตัวเองก็วันนี้แหละคะ หวังว่าคงไม่ช้าไปนะคะ
อันดับแรกไม่ต้องสงสัยเลยคะว่าทำไมย้ายมาอยู่อินโด ไม่ได้มาทำงานหอบเงินกลับไทยหรอกค่ะ ก็ดันไปตกหลุมรักหนุ่มอินโดตอนที่เค้าไปอยู่บ้านเราเข้าสิค่ะ เลยต้องหอบผ้าหอบผ่อนตามเค้ามา มาเป็นสะใภ้อินโดค่ะ (เฮ้อคนอื่นเค้าไปเป็นสะใภ้แถวยุโรปกันแต่ชั้นขอเป็นสะใภ้เอเชียแล้วกัน ) ตอนนี้เลยกลายมาเป็นสาวอินโดโดยปริยาย
ตอนย้ายมาครั้กแรกนั้นตอนที่เศร้าที่สุดก็ตอนขึ้นเครื่องแหละค่ะ เพราะมีพ่อแม่และน้องมาส่งที่สนามบิน รู้สึกว่าเราจะไม่ได้อยู่บ้านเราอีกต่อไปมันก็เศร้านะคะ แหมอยู่ด้วยกันมาตั้ง 27 ปี อยู่ๆต้องหอบผ้ามาอยู่กับสามีมันก็ Sad อยู่ค่ะ
แต่พอได้มาอยู่จริงๆ ใหม่ๆ เรียกได้ว่าไม่ค่อยเหงาค่ะ เหมือนมาเที่ยว เพราะว่าแฟนพา entertain บ่อยค่ะ กลัวเราเหงา แต่พออยู่ไปเป็นปีๆสิค่ะ ไม่ค่อย entertain เลยคะ คงเห็นว่าเราชิน เราอยู่ได้แล้ว จริงๆ ก็มีเพื่อนๆ หลายคนถามนะคะว่ามาอยู่ที่นี่ มาเป็นแม่บ้าน ไม่มีงานทำ ไม่เหงาเหรอ มันมีบ้างค่ะ เหงาๆเบื่อๆ คนเคยทำงานนี่ค่ะ แต่ก็พยามหากิจกรรมอื่นทำค่ะ บางทีก็ออกไปทานข้าวกับเพื่อนนอกบ้านบ้างค่ะ แลนอกจากมีสามี entertain แล้ว ก็แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้อยู่ได้ทั้งวันไม่ไปไหนเลยค่ะ คือ Internet ค่ะ ขาดไม่ได้เลยนะคะจะลงแดงค่ะ ว่างๆเหงาๆ ก็คุยกับเพื่อนๆ ใน MNS บ้าง Hi5 บ้าง Face bookบ้างค่ะ แรกๆ คุยกับเพื่อนทุกวันเลยค่ะ กลัวเหงา อีกอย่างสามีให้กลับบ้านทุก 3-4 เดือน ก็ปีละ 2-3 ครั้ง ก็ยังดีค่ะ แต่หลังๆ ก็มีอย่างอื่นทำค่ะ แล้วไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อว่าอยู่ที่นี่มีอะไรทำบ้างนะคะ
Subscribe to:
Posts (Atom)